9 อันดับบริษัท อสังหาริมทรัพย์กทม.-ปริมณฑล เปิดโครงการใหม่น่าสนใจ 2565
สรุปข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ 9 บริษัทผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Property) ลุยเปิดโครงการใหม่เพิ่มสูงสุดปี 2565 โดยแจ้งเพิ่มเติมจากศูนย์ประเมินตลาดบริษัท อสังหาริมทรัพย์กทม.-ปริมณฑลปี 2565 ปรากฏว่ามีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว จากปี 2564 ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและโรคระบาดอย่างหนัก ได้เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 46,602 ยูนิต นับว่าเป็นสถิติการเปิดตัวโครงการต่ำสุดในรอบ 11 ปี แต่ภายใต้เรื่องร้าย ๆ ก็ยังมีเรื่องดีเกิดขึ้น นั่นคือ สัญญาณที่ดีขึ้นเมื่อปี 2565 นี้มีการเปิดโครงการเพิ่มอยู่ที่ 81,126 ยูนิต จึงมองว่าอสังหาริมทรัพย์ไทย การลงทุนที่อยู่อาศัยยังพัฒนาและต่อยอดต่อไปได้อีก
9 บริษัท อสังหาริมทรัพย์ไทย (กรุงเทพฯ-ปริมณฑทล) ลุยเปิดโครงการใหม่สูงสุดปี 65
อันดับที่ 1 บมจ.เอพีไทยแลนด์ (AP THAI)
- จำนวน 65 โครงการ แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 บาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท
- มูลค่ารวม 78,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 47,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 50,000 ล้านบาท
คุณวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานองค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ กล่าวภาพรวมว่าจะส่งผลให้สถานการณ์เอพี ปี 2565 มีโครงการพร้อมขายในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัดกว่า 182 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 149,000 ล้านบาท โดยเล็งดันโครงการบ้านแนวราบไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของสมุทปราการ ปทุมธานี และนนทบุรี เช่น พุทธสาคร บางพลี ซอยพันท้ายนรสิงห์ บางบ่อ และเทพารักษ์ เป็นต้น
อันดับที่ 2 บมจ.แสนสิริ (SANSIRI)
- จำนวน 46 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ และคอนโดฯ 18 โครงการ
- มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 35,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท
คุณเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ เผยจุดประสงค์ของการเปิดตัวโครงการแนวราบเยอะกว่าคอนโดฯ เพื่อตอบรับกลุ่มคนที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยจริง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ไลฟ์สไตล์ ( Real Demand) รวมถึงการเน้นเปิดตัวโครงการ Affor dable Segment ในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งนอกจากนี้แสนสิริยังตั้งใจทำบ้านเดี่ยวให้ตอบโจทย์ทถกความต้องการ กระจายโครงการในหลาย ๆ ทำเลเพื่อให้คนไทยมีบ้านได้ง่ายขึ้น
อันดับที่ 3 บมจ.โนเบิล (NOBLE)
- จำนวน 18 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ แบบ Low Rise 12 โครงการ และประเภทแนวสูง 6 โครงการ
- มูลค่ารวม 47,700 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 29,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 28,000 ล้านบาท
คุณธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล กล่าวว่าแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจส่วนใหญ่จะเน้นการขยายพอร์ตให้เกิดสินค้าที่กระจายสู่ผู้คนได้หลากหลายกลุ่ม เพราะการพัฒนาโครงการแนวราบจะช่วยให้บริษัท ทำให้รับรู้รายได้เร็วขึ้น (ใช้ระยะเวลาก่อสร้างน้อยลง)
อันดับที่ 4 บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORIGIN)
- จำนวน 31 โครงการ แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 12 โครงการ มูลค่า 13,400 ล้านบาท และคอนโดฯ 19 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 15,000 ล้านบาท
- มูลค่ารวม 42,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 17,500 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 35,000 ล้านบาท
คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น เปิดเผนถึงสถานการณ์หลังก่อตั้งบริษัทมากว่า 12 ปี ได้ผ่านการพัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากแรกเริ่มที่มีเพียงที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ สู่บริษัท อสังหาริมทรัพย์ที่เกิดธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งในปี 2565 นี้เองก็มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มจากปีที่ผ่านมา 137%
อันดับที่ 5 บมจ.ศุภาลัย (SUPALAI)
- จำนวน 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 31 โครงการ และคอนโดฯ 3 โครงการ
- มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 29,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 28,000 ล้านบาท
คุณไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและการแกร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มาจนถึงปี 2564 ส่งผลต่อรายได้และความเชื่อมั่นของผู้อยู่อาศัย เป็นเหตุให้บริษัท อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง ซึ่งในปี 2565 นี้มีการวางแผนเปิดตัวใหม่ 34 โครงการ โดยจะมีการขยายการพัฒนาโครงการใหม่ไปยังหลาย ๆ ภูมิภาค ของ 5 จังหวัด ได้แก่ ลำพูน ฉะเชิงเทรา นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ และนครปฐม
อันดับที่ 6 บมจ.เอสซี แอสเสท (SC ASSET)
- จำนวน 27 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท และคอนโดฯ 2 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท
- มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 22,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 22,000 ล้านบาท
คุณณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี กล่าวว่าปี 2565 นี้ การเปิดโครงการใหม่ของบริษัทสูงกว่าสถิติใหม่ 27 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ (70% เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท) ส่วนคอนโดฯ เปิดตัว 2 โครงการใหม่บนทำเลรถไฟฟ้า BTS คือ สถานีวงเวียนใหญ่ และทองหล่อ ส่งผลให้ทั้งปีบริษัทมีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวม 78 โครงการ มูลค่ารวม 69,000 ล้านบาท อีกทั้งยังพูดถึงการเตรียมงบประมาณเพื่อลงทุนที่ดินในปีนี้ รองรับการเติบโดอย่างต่อเนื่องถึงปี 2566
อันดับที่ 7 บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้โฮม (FRASERS PROPERTY)
- จำนวน 25 โครงการ แบ่งเป็นทาวน์โฮม 10 โครงการ บ้านเดี่ยว 10 โครงการ บ้านแฝด 2 โครงการ และโครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ
- มูลค่ารวม 29,500 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 13,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 25,000 ล้านบาท
คุณแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม กล่าวถึงมุมมองยอดขายในปัจจุบันว่าไม่ได้มีความสำคัญเท่าความมั่นใจของลูกค้า ทั้งนี้ ปี 2565 จัดสร้างโครงการบ้านเดี่ยวที่มีสัดส่วนของ City Home (ใจกลางเมือง) คือ The Grand Vibhavadi 60 พร้อมสินค้าระดับหรูหรา อย่างเช่น แบรนด์ The Royal Resident จากแผนธุรกิจปี 2565 จะทราบว่าบริษัทมีการเพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวมากขึ้น
อันดับที่ 8 บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANANDA)
- จำนวน 7 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 2 โครงการ และคอนโดฯ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท
- มูลค่ารวม 28,400 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 12,186 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 13,979 ล้านบาท
คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อนันดา กล่าวถึงสถานการณ์ที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย ที่ ณ ปัจจุบันเริ่มคลี่คลาย รวมถึงมีแนวโน้มดีขึ้น โดยในปีนี้วางแผนเปิดทั้งหมด 7 โครงการ ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียม 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ แบรนด์โคโค่ พาร์ค (COCO PARC) มูลค่า 4,622 ล้านบาท เป็นต้น
อันดับที่ 9 บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA)
- จำนวน 49 โครงการ
- มูลค่ารวม 27,480 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดรายได้ (มีการโอนกรรมสิทธิ์) 12,186 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดขาย 13,979 ล้านบาท
ปิดท้ายด้วยผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวถึงปี 2565 ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเสนาในการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “SENA Next” ที่หมายถึงการเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็ยังมีการรวมกิจการผู้พัฒนาอสังหาฯ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด มหาชน (JPS) เป็นผลให้เสนาขยายฐานกลุ่มลูกค้าได้ทั้งในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล รวมถึงต่างจังหวัด ถือได้ว่าครอบคลุมหลาย ๆ ภูมิภาคหลาย ๆ โลเคชัน (มีโครงการแนวราบเสริททัพเพิ่มขึ้น)
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นการจัดลำดับตามโครงการใหม่ที่แต่ละบริษัท อังหาริมทรัพย์ได้เปิดตัวมาในต้นปี 2565 ไม่ได้เป็นการโฆษณา (Advertoria) แต่เป็นบทความที่อ้างอิงจากตัวเลขสถิติ ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือสมาคมใด ๆ ที่เป็นทางการ